ขายฝากที่ดิน เมื่อต้องการใช้เงินเร่งด่วน

สำหรับคนที่มีทรัพย์สินเป็นที่ดินไว้ในครอบครองแล้วไม่อยากขายขาด นอกจากจำนองที่ดิน ยังมีการขายฝากที่ดิน ซึ่งอนุมัติเร็ว ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก เนื่องจากการทำสัญญาฝากขายที่ดิน ไม่จำเป็นต้องเช็กประวัติแบล็คลิสต์ เครดิตบูโร หรือรายการเคลื่อนไหวของบัญชีธนาคาร (Statement) สามารถไถ่คืนที่ดินได้ และยังใช้ประโยชน์ในที่ดินต่อไปได้ แต่เนื่องจากเป็นการทำสัญญา จึงต้องมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาขายฝากที่ดินคืออะไร สิ่งที่ต้องระบุให้ชัดในสัญญา

หลักการดำเนินการมีความสอดคล้องและคล้ายคลึงเป็นอย่างมาก เราจะใช้วิธีแบบไหน จึงจะปลอดภัยกับการทำข้อตกลงกับผู้จะซื้อหรือผู้จะขายมากที่สุด ซึ่งการขายฝากที่ดินคืออะไร? แล้วจํานองกับขายฝากต่างกันอย่างไร? ซึ่ง ขายฝากที่ดิน มีมาตรการดำเนินการอย่างไรบ้าง

การขายฝากที่ดินคืออะไร
การขายฝาก คือ การทำสัญญาโดยใช้ทรัพย์สินของผู้ขายฝาก มาเป็นหลักประกันชำระหนี้แก่ผู้รับซื้อฝาก ซึ่งการทำสัญญาณจะดำเนินการ ณ สำนักงานที่ดิน โดยทรัพย์สินที่มีการขายฝาก จึงแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
– ทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน ที่สวน คอนโดมิเนียม บ้านประเภทต่างๆ หรือ ขายฝากบ้านพร้อมที่ดิน
– ทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ เช่น รถยนต์ จักรยานยนต์ เรือ และยานพาหนะอื่นๆ

จุดเด่นของการขายฝากที่ดิน
ผู้ขายฝากที่ดิน สามารถไถ่ถอนทรัพย์สินที่ตัวเองขายฝากได้ตามในระยะเวลากำหนดของสัญญาที่ตกลงกันกับผู้ซื้อฝากไว้ แต่ในขณะเดียวกัน หากผู้ฝากขายไม่สามารถไถ่ถอนคืนตามระยะเวลาที่กำหนด กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินที่ขายฝากทั้งหมด จะตกเป็นของผู้รับซื้อทันที
การขายฝากต่างจากการขายปกติอย่างไร

การขายฝากที่ดินมีหลักประกันทางด้านความปลอดภัย และได้รับการรับการคุ้มครองตามกฎหมายมากกว่าการขายปกติ อีกทั้งตัวผู้ขายฝากสามารถเลื่อนระยะเวลาชำระได้นานถึง 10 ปี (กรณีขายฝากทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์)

ขั้นตอนการขายฝาก
กระบวนการขายฝาก มีการดำเนินการ 3 ขั้นตอน ดังนี้
– ผู้ขายฝากทำการประกาศขายทรัพย์สินที่ต้องการขายฝาก โดยในรายละเอียดใบสัญญาต้องระบุ วัน ระยะเวลาสัญญาที่ต้องการไถ่ถอนให้ชัดเจนแก่ผู้ซื้อฝาก
– ผู้ขายฝากดำเนินการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินตัวเองแก่ผู้ซื้อฝากเพื่อรับเงินสด ส่วนผู้ซื้อฝากจะได้ใบโฉนดที่ดิน หลังทั้งสองฝ่ายเซ็นสัญญาที่ ณ กรมที่ดินเสร็จเรียบร้อย
– ครบกำหนดวาระสัญญา ผู้ขายฝากที่ดินต้องนำเงินมาไถ่ถอนทรัพย์สินที่ตนเองขายฝากไว้และจ่ายดอกเบี้ยที่ค้ำประกันไว้ ส่วนผู้ซื้อฝากจะดำเนินการคืนใบโฉนดที่ดิน ในกรณีที่ผู้ขายฝากจ่ายหนี้ครบตามสัญญาที่กำหนดไว้

เคล็ดลับการตลาดออนไลน์สมัยใหม่ 2023

เคล็ดลับการตลาดออนไลน์สมัยใหม่ 2023

การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค ดังนั้น เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเป็นไปได้ในการเติบโตและคงอยู่ในตลาดออนไลน์ นี่คือเคล็ดลับการตลาดออนไลน์สำหรับปี 2023:

  1. ปรับเปลี่ยนเว็บไซต์ของคุณให้สอดคล้องกับมือถือ: ผู้ใช้มือถือเริ่มเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่สำคัญมากขึ้น ดังนั้น คุณควรทำให้เว็บไซต์ของคุณเข้ากับการใช้งานบนมือถือ และให้ประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้มือถือ
  2. ใช้ SEO อย่างมีเสถียรภาพ: SEO ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเพิ่มความน่าสนใจของเว็บไซต์ของคุณในตำแหน่งการค้นหาของ Google และเพิ่มโอกาสให้มีผู้เข้าชมมากขึ้น
  3. โฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์: การโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram และ Twitter ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ
  4. การตลาดผ่านวิดีโอ: การใช้วิดีโอในการตลาดของคุณสามารถช่วยเพิ่มความน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มาก
  5. การใช้โฆษณาทางการค้าอิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce): ในปัจจุบันผู้บริโภคมักจะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นการใช้โฆษณาทางการค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Google Shopping, Facebook Marketplace, และ Amazon Advertising จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าของคุณ
  6. การใช้เทคโนโลยี AI ในการตลาด: การใช้เทคโนโลยี AI สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการตลาดของคุณ โดยการใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการทำนายพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อช่วยปรับการตลาดให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า
  7. การให้บริการลูกค้าด้วยช่องทางออนไลน์: การให้บริการลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น แชทบอท (Chatbot) หรือการตอบคำถามของลูกค้าผ่านทางอีเมล หรือแชท จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความพึงพอใจในการให้บริการลูกค้า
  8. การสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นกลาง: ในการตลาดออนไลน์ความน่าเชื่อถือและเป็นกลางมีความสำคัญมาก เนื่องจากมีการปลอมแปลงข้อมูลและการฉ้อโกงออนไลน์ ดังนั้น คุณควรเน้นในการสร้างความเชื่อถือและความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจของคุณ

ทำความรู้จัก Search Impressions Share ทำไมถึงสำคัญกับ Google Ads

Search Impressions Share คือเทคนิคการทำโฆษณาให้แซงหน้าคู่แข่ง ที่หลายๆคนมักมองข้าม เพราะแค่อยากจะลงโฆษณา Google Ads ก็สามารถทำได้ง่ายๆ จึงทำให้มีจำนวนคู่แข่งที่สูงขึ้นตามไปด้วย แต่จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าเรารู้ว่าเราสามารถปรับโฆษณาส่วนไหนได้บ้าง เพื่อให้แซงหน้าคู่แข่งด้วยการใช้ Search Impressions Share
Search Impressions Share ช่วยแสดงค่าที่บ่งบอกว่าคีย์เวิร์ดที่เราใช้ มีการแสดงผลมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับคู่แข่ง โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ถ้าค่า Search Impressions Share สูง นั่นแสดงให้เห็นว่า โฆษณาของเรามีการแสดงผลบ่อยแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น Search Impressions Share อยู่ที่ 70% แสดงว่าคีย์เวิร์ดที่เราใช้มีการแสดงผลถึง 70 ครั้ง ส่วนอีก 30 ครั้งที่เหลือเป็นการแสดงผลของคู่แข่งนั่นเอง แล้วถ้าเราอยากเพิ่มค่า Search Impressions Share ให้สูงขึ้นต้องทำอย่างไร เรามีวิธีมาบอกกัน ก่อนอื่นให้คุณเปิดคำสั่ง Columns > Modify Columns > Competitive Metrics > Search Impressions Share, Search Lost IS (Rank), Search Lost IS (Budget) เมื่อทั้ง 3 คำนี้ โชว์ขึ้นมาแล้ว เราจะมาอธิบายความหมายกัน

1. Search Lost IS (Rank) ส่วนนี้เป็นการแสดงว่าโฆษณาของคุณไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การแสดงผลไม่ดีเท่าที่ควร วิธีแก้เบื้องต้น ให้คุณไปปรับ Bidding ของแต่ละคีย์เวิร์ดให้สูงขึ้น หรือปรับแต่ง Quality Score ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดทั้งในหน้าเว็บไซต์ และคำโฆษณา หรือลองเลือกคีย์เวิร์ดดูใหม่ อย่าให้แคบจนเกินไป และอย่าลืมใส่ Negative Keywords เพื่อคัดกรองคำที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป เมื่อคุณสามารถทำได้ค่า Search Lost IS (Rank) จะลดลง
2. Search Lost IS (Budget) เกี่ยวกับงบประมาณที่ใช้ในการลงโฆษณาไม่เพียงพอ เมื่อค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด แสดงได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ โชว์ได้ไม่มีครั้ง วิธีการแก้ไขคือเพิ่มงบให้สูงขึ้น ไม่เพียงแค่นั้นช่วยให้การแสดงผลอยู่ได้นานขึ้นด้วย ในกรณีที่มีลูกค้าคลิกโฆษณาของคุณจนหมด หรือคุณจะใช้วิธีกำหนดโลเคชั่นให้แคบลงก็ได้ เลือกเฉพาะพื้นที่ใกล้เคียง หรือที่สามารถบริการลูกค้าได้ ให้โฆษณาของคุณแสดงผลได้เต็มที่ ในงบที่จำกัดแทน ถ้าคุณอยากเลี่ยงการเพิ่มงบประมาณ

การทำให้ค่าเปอร์เซ็นต์ของ Search Impressions Share สูงขึ้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลย ทางผู้ลงโฆษณาเองจำเป็นต้องปรับแต่งโฆษณาอยู่เสมอ ก่อนที่คู่แข่งจะแซงหน้าไปเสียก่อน วิธีที่เราแนะนำ ถ้าคุณนำไปปรับใช้รับรองว่าเห็นผลได้ชัดเจนมาก และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเพิ่มคะแนนคุณภาพ Quality Score ทั้งในส่วนของโฆษณา และเว็บไซต์ ให้สอดคล้องกัน เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน มีส่วนทำให้ค่าคลิกถูกลง อันดับสูงขึ้นได้ หรือถ้าคุณไม่อยากยุ่งยากเสียเวลาสามารถใช้บริการรับทำ google ads จากเอเจนซี่ผู้เชี่ยวชาญแทนได้

ฉีดโบท็อกยี่ห้อไหนดี ? แต่ละยี่ห้ออยู่ได้นานแค่ไหน ?

โบท็อกมีหลายยี่ห้อจากหลายประเภท ได้แก่

โบท็อกอเมริกา (Allergan) เป็นบริษัท Original ของโบท็อก มีงานวิจัยรับรองกว่า 3,500 งานวิจัย และผ่านการพัฒนาเพื่อที่มีฉีดโบท็อกไปแล้วจะมีโอกาสดื้อโบท็อกน้อยที่สุด และเห็นผลการรักษาดีที่สุดเมื่อเทียบกับยี่ห้ออื่นๆ ค่ะ โบท็อกอเมริกาตัวยามีการกระจายตัวแคบที่สุด จึงให้ผลการรักษาที่แม่นยำ การฉีดโบท็อกอเมริกาเพื่อให้อยู่ได้นานและผลเป็นธรรมชาติที่สุด ต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูง สามารถคาดคะเนการออกฤทธิ์ของโบท็อกได้แม่นยำด้วยค่ะ

โบท็อกอังกฤษ (Dysport) จุดเด่นของโบท็อกอังกฤษ คือเมื่อฉีดแล้วตัวยากระจายทั่วถึง ไม่กระจุกเป็นจุดแคบๆ เหมาะกับการฉีดลิฟหน้าด้วยเทคนิค Dermolift เพื่อยกกระชับผิว สำหรับคนที่ต้องการลดริ้วรอยอย่างเป็นธรรมชาติจะตึงขึ้นประมาณ 50% นอกจากนี้จะนิยมใช้ Dysport ฉีดลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัว ลดต้นแขน ลดน่อง

โบท็อกเกาหลี (Nabota/Aeslax) โบท็อกเกาหลีถือเป็นโบท็อกที่ได้รับความนิยม ทั้ง Nabota และ Aestox เลยค่ะ ส่วนใหญ่โบท็อกเกาหลีจะเน้นการพัฒนาให้ออกฤทธิ์ไวเทียบเท่าโบท็อก Allergan(โบท็อกอเมริกา) แต่มีราคาที่ถูกกว่าเท่าตัว ซึ่งความแตกต่างของทั้ง 2 ตัวนี้ Nanota จะออกฤทธิ์ไว เห็นผลลัพธ์หลังฉีดค่อนข้างเร็ว นิยมนำมาใช้ในการลดริ้วรอย ส่วน Aestox เป็นโบท็อกเกาหลีอีกหนึ่งตัวที่ผ่าน อย.ไทย เห็นผลไว มีความอ่อนโยน ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ นิยมฉีดเพื่อลดริ้วรอยหางตา รอยย่นหน้าผาก ระหว่างคิ้ว

โบท็อกเยอรมัน (Xeomin) โบท็อกเยอรมันจะเน้นพัฒนาโดยเอาข้อดีของ Allergan กับ Dysport มารวมกัน คุณสมบัติมีความบริสุทธิ์สูงและตัวยาจะไม่กระจุกตัวแคบเกินไป ทำให้ผลที่ได้ออกมาเป็นธรรมชาติ

ซึ่งโบท็อกของแต่ละยี่ห้อแต่ละประเภทจะมีระยะเวลาอยู่ได้ไม่เท่ากันค่ะ ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติ กรรมวิธีการทำตัวยาให้บริสุทธิ์ ชนิด Protein complex หรือขนาดของ Molecule complex ตัวที่จะส่งผลให้โบท็อกแตกต่างกันมากที่คือ ขนาดของ Molecule complex size เพราะขนาดของโมเลกุลจะมีผลต่อการกระจายตัวยา ถ้าออกแบบให้กระจายตัวแคบ ผลของการฉีดก็จะแม่นยำตรงจุด ถ้าออกแบบให้กระจายตัวกว้างก็เหมาะกับคนที่ต้องการเห็นผลรวดเร็วและใช้ฉีดในบริเวณกว้างเช่นน่อง